ความรู้คือพลังสำหรับโลกใหม่

Share on facebook
Share on twitter

ในช่วงปี 2537  ดร.ทักษิณ ได้เข้าสู่การเมืองด้วยตำแหน่งหัวหน้าพรรคพลังธรรม  ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ถูกเทียบเชิญจากผู้หลักผู้ใหญ่ทางการเมืองให้รับหน้าที่นี้  หลังจากที่เขาเป็นผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของนักการเมืองไทยหลายคน  แม้ก่อนหน้านั้น  คนไทยรู้จักเขาในนามของนักธุรกิจ-นักบริหารด้านการสื่อสารที่ประสบความสำเร็จ  เป็น 1 ใน 12 นักธุรกิจผู้นำของเอเชีย  จนได้รับยกย่องจากหนังสือพิมพ์ Singapore Business Times  และยังได้รับการยกย่องเป็น Asian CEO of the Year จาก นิตยสาร Financial World  ความโดดเด่นในด้านการบริหารของเขา  ทำให้ได้รับการขนานนามจากนักเขียนรุ่นใหม่ว่าเป็นนักธุรกิจในคลื่นลูกที่ 3

ในตอนนั้น  คลื่นความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคม มีวัฒนาการ 3 ขั้น  ถูกขับเคลื่อนด้วยบางสิ่งบางอย่างที่แตกต่างกันออกไป  โดยถูก ‘พลวัตร’ เปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ก้าวหน้า โดย

คลื่นลูกที่ 1 สังคมเกษตรกรรม

คลื่นลูกที่ 2 สังคมอุตสาหกรรม

คลื่นลูกที่ 3 สังคมข้อมูลข่าวสาร  

เมื่อ 20 กว่าปีที่แล้ว “หนุ่มเมืองจันทร์” หรือ “สรกล อดุลยานนท์” นักเขียนชื่อดังและอดีตบรรณาธิการข่าวเศรษฐกิจ ได้เขียนหนังสือ “ทักษิณ ชินวัตร อัศวิน คลื่นลูกที่ 3” เพื่อเจาะลึกเส้นทางของความสำเร็จของ ดร.ทักษิณ  เพื่อทำความรู้จักและเปิดเผยแนวคิดของเขา ที่เป็นหนึ่งในผู้สร้างสังคมใหม่  นำประเทศไทยสู่ความทันสมัยและความเจริญรุ่งเรือง  เพราะสิ่งที่คิดและธุรกิจที่ทำ ทำให้เขาได้กลายเป็นผู้ทรงอิทธิพลแห่งวงการโทรคมนาคม  กลายเป็นบทพิสูจน์ฝีมือการเป็นนักบริหารที่ประสบความสำเร็จ  และมีคนมองเห็นความสามารถ  ให้นำมาปรับใช้กับการบริหารพรรคการเมืองได้  โดยหนุ่มเมืองจันทร์ ได้อธิบายปัจจัยที่ทำให้ ดร.ทักษิณประสบความสำเร็จทางธุรกิจว่า

ประการที่ 1 กล้าตัดสินใจอย่างรวดเร็ว กล้าทดลองลงทุนในธุรกิจใหม่ๆ กล้าปรับทิศทางธุรกิจในเครือจากการค้าคอมพิวเตอร์มาเป็นธุรกิจโทรคมนาคมได้ในจังหวะที่เหมาะสม

ประการที่ 2 เป็นนักเจรจา ประกอบกับความกว้างขวางในการสร้างพันธมิตร บริหารสายสัมพันธ์ จนสามารถประสานได้กับทุกฝ่ายอย่างลงตัว

ประการที่ 3 วิสัยทัศน์ที่มองไปข้างหน้า ประเมินสถานการณ์ได้ถูกต้อง ไปพร้อมกับการกำหนดกลยุทธ์ได้ตรงกับความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต 

ทำให้ช่วงเวลาเกือบ 10 ปี  หลังลาออกจากกรมตำรวจมาสู่เส้นทางของธุรกิจ ดร.ทักษิณประสบความสำเร็จจนได้รับการยอมรับจากทั้งในและต่างประเทศ

ทุกย่างก้าวของวินาที  จากวันนั้นจนถึงวันนี้เวลาที่ล่วงเลยไปแต่ละวัน  โลกของเราได้เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา มนุษยชาตินั้นเก่งพอที่จะอยู่กับความเปลี่ยนแปลงนี้ได้  แต่ใครที่จะอยู่ “ได้ดี” นั้น ดร.ทักษิณ มองว่า ต้องเป็นคนที่มีพลังความรู้เป็นพื้นฐาน  หรือ Knowledge Base Society

เขามองว่าที่ผ่านมา ประเทศไทยยังปรับตัวรองรับในเชิงของการสร้างสรรค์ไม่เพียงพอ  สังคมไทยอยู่ในภาวะของความสะดวกสบาย  พ่อแม่ตั้งหน้าตั้งตาทำงานจนไม่มีเวลาให้ครอบครัว และติดกับการให้  ทั้งเงินและเครื่องอำนวยความสะดวก  จนลืมว่าอาจจะส่งผลกระทบตามมาในหลายด้าน 

“เราต้องเตรียมตัวกับชีวิตของโลกใหม่  ซึ่งวันนี้กำลังเป็นสังคมที่อาศัยฐานความรู้เป็นหลัก  หรือเราเรียกว่า Knowledge Base Society โลกยังต้องเปลี่ยนไปอีกมาก พลังสมองจึงเป็นหัวใจของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ”

ดร.ทักษิณ มองว่า ความรู้มี 2 แบบ  แบบแรกคือความรู้ที่เป็นการเรียนอย่างเป็นทางการ และอีกแบบคือความรู้ที่เกิดจากความรอบรู้  หากทั้ง 2 อย่างผสมผสานกันได้  จะเป็นสิ่งที่ดี  ความรู้ทั้ง 2 แบบสามารถค้นหาได้ในอินเทอร์เน็ต ซึ่งมีข้อมูลที่เป็นประโยชน์มหาศาลอยู่ในนั้น  แต่ความรู้และความรอบรู้คงไม่เพียงพอที่จะนำไปใช้ชีวิตในโลกยุคใหม่อีกต่อไป  ต้องเป็นความรู้ที่มีพลังด้วย

“Knowledge ที่เป็น Power นั้นประกอบไปด้วย Information กับความสามารถในการวิเคราะห์  และนำข้อมูลนั้นมาใช้อย่างถูกต้อง  เพราะฉะนั้น Knowledge จึงเป็น Power ที่แท้จริง’

เมื่อเข้าสู่การเมืองเต็มตัว จากพรรคพลังธรรมสู่การตั้งพรรคการเมืองของตัวเองในนาม “พรรคไทยรักไทย” เขายอมรับว่าการที่มีตนเป็นผู้นำของพรรคเพียงคนเดียวคงไม่เพียงพอ  ต้องสรรหาผู้ที่มีความรู้มาร่วมมือช่วยกันในการบริหารประเทศ ซึ่งหมายความว่า เก่งคนเดียวไม่พอ จะต้องแวดล้อมไปด้วยคนเก่งด้วย  ความรู้ที่มีนั้นจึงจะถูกร่วมกันผลักดัน ออกมาให้ใช้ประโยชน์อย่างสูงสุด

“หลังวิกฤตต้มยำกุ้ง พรรคไทยรักไทยชนะการเลือกตั้ง  ผมควานหาคนที่เก่งที่สุดของแต่ละวงการมา เพราะประเทศไทยเรากำลังต้องการคนเก่งมาแก้ปัญหาประเทศ  ตอนนี้เราอยู่ในโลกสงครามหาคนเก่ง  เขาเรียก The War For Talent สงครามล่าหาปัญญาที่ดี  ซึ่งปัญญาที่ดีไม่จำเป็นต้องคิดเลขเก่ง  สะท้อนออกมาอย่างไรก็ได้”

เพราะประเทศไทยมีระบบเศรษฐกิจแบบเปิด   ที่ผนวกเข้าเป็นหนึ่งเดียวกับเศรษฐกิจโลก  เมื่อเกิดภาวะใดขึ้นมา  จะได้รับผลกระทบ  เขามองว่าประเทศไทยต้องปรับตัวให้มีความพร้อมทั้งเชิงรับและรุก   เข้าสู่การพัฒนาที่เน้นการแข่งขันบนฐานความรู้ที่รอบด้านมากพอในเวลาเดียวกัน   เป้าหมายไม่ใช่ใคร  ก็เพื่อให้ประเทศไทยอยู่รอดได้  ท่ามกลางภาวะการเปลี่ยนแปลงของโลกที่เกิดขึ้นอย่างทุกวันนี้  

Share on facebook
Share on twitter