แรงบันดาลใจที่ดร.ทักษิณมอบให้ประเทศไทยสําหรับการก้าวเข้าสู่สังคมโลก

Share on facebook
Share on twitter

ทุกคนรู้ว่าว่า ดร.ทักษิณ คือหนึ่งในนายกรัฐมนตรีที่มีประชาชนสนับสนุนมากที่สุดในประเทศไทย แต่ไม่ค่อยมีใครรู้ว่านอกจาก ดร.ทักษิณ จะอยู่แถวหน้าด้านการสร้างความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจและการเมือง ดร.ทักษิณ ยังเป็นผู้นำประเทศที่ให้ความสำคัญต่อการศึกษาอย่างสูงมากจริงๆ

ดร.ทักษิณ เป็นนายกรัฐมนตรีเพราะชนะการเลือกตั้งในปี 2544 และหลังจากจัดตั้งรัฐบาลสำเร็จในเดือนกุมภาพันธ์  ดร.ทักษิณ ก็ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการ ด้วยตัวเองในเดือนมิถุนายน แตกต่างจากผู้นำประเทศคนอื่นๆ ที่มักควบตำแหน่งรัฐมนตรีกลาโหมมากกว่ากระทรวงศึกษาธิการ

ดร.ทักษิณ เป็นอดีตนายกรายเดียวที่แนะนำหนังสือให้คณะรัฐมนตรีและประชาชนอ่านเป็นประจำ และไม่ว่าจะอยู่ในฐานะผู้นำประเทศหรือไม่  ดร.ทักษิณ ไม่เคยหยุดยั้งที่จะส่งเสริมการอ่านและการศึกษา เพราะตระหนักดีว่าโอกาสทางการศึกษาคือรากฐานที่มั่นคงของชีวิตและการพัฒนา

ดร.ทักษิณ ประสบความสำเร็จด้านธุรกิจโทรคมนาคมตั้งแต่ก่อนที่จะมีบทบาททางการเมือง และหลังจากสร้างรากฐานที่มั่นคงแก่ครอบครัวและธุรกิจ ดร.ทักษิณ ได้ก่อตั้งมูลนิธิไทยคมขึ้น ในปี พ.ศ.2536  เพื่อผลักดันงานด้านการขยายโอกาสทางการศึกษาอย่างจริงจัง

ดร.ทักษิณ ชินวัตร กล่าวถึงความสำคัญของการศึกษาว่า “ถ้าคนไม่ฉลาด คนก็ไม่สามารถพัฒนาตัวเองให้เรียนรู้ตลอดชีวิตได้ ไม่มีทางเลยที่จะสร้างประเทศให้เข้มแข็ง” และในงานเปิดตัวหนังสือ “ทักษิณ ชินวัตร ปั้นเด็กไทยให้เรียนและรู้โลก คิดเป็น ทำเป็น” ดร.ทักษิณ กล่าวไว้ว่า

“ผมโตที่บ้านนอก เมื่อผมได้เรียนหนังสือ ผมมีโอกาสได้ทุนการศึกษา ก็ได้เปรียบคนอื่น เมื่อได้เปรียบคนอื่น ผมก็มีโอกาสเติบโตขึ้นมากกว่าคนอื่น เพราะ หนึ่งมีการศึกษา สองมีประสบการณ์ สามได้เห็นโลกภายนอก ไปเรียนถึงอเมริกาเห็นว่าประเทศอื่นเขาไปถึงไหน”

“เมื่อผมหันกลับไปหาเพื่อนที่โรงเรียนบ้านสันกำแพง บางคนไม่ได้เรียนหนังสือต่อ แต่เพื่อนที่ได้เรียนหนังสือ บางคนเป็นผู้บริหาร เป็นความแตกต่างของคนที่ได้เรียนกับคนที่ไม่ได้เรียนต่อ ถามว่า คนที่ไม่ได้เรียนต่อ เขาแย่เหรอ คำตอบก็คือไม่ได้แย่  แต่ที่แย่มากกว่านั้นคือ เขาไม่มีโอกาส” 

ในปาฐกถาพิเศษ เรื่อง “อนาคตเด็กไทย อนาคตประเทศไทย” เมื่อวันที่ 9 เมษายน พ.ศ.2551 ดร.ทักษิณได้แสดงวิสัยทัศน์ที่เชื่อมโยงโอกาสทางการศึกษากับอนาคตจของประเทศเอาไว้ว่า

“ผมนั่งดูประเทศหลายปีที่ผ่านมา ก็ห่วง คิดว่าควรหาทางเตรียมอนาคตของประเทศ ถ้าเราไม่ลงทุนกับเด็กในวันนี้ ก็เท่ากับเราไม่ลงทุนกับอนาคต เพราะคนรุ่นเรากำลังรีไทร์ การเตรียมสร้างชาติต้องเตรียมตัวสร้างเด็กรุ่นใหม่ คนที่ได้เปรียบในโลกวันนี้คือคนที่คิดเป็นระบบ ไม่งั้นก็จะเจ๊งไป”

“อนาคตประเทศไทย อยู่ที่อนาคตของเด็กไทย  พวกเราต้องล้มหายตายจาก ตามวัย ตามอายุขัย คนที่จะเข้ามาทำหน้าที่เป็นกำลังสำคัญประเทศคือเด็กไทยวันนี้ ถ้าเราไม่สร้างพวกเขาในวันนี้ อนาคตของประเทศไทยจะอยู่ในมือของคนที่เป็นเด็กมีปัญหา เด็กที่คิดไม่เป็น ทำไม่เป็น”

Share on facebook
Share on twitter